ที่มาและความสำคัญของนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ
แต่เดิมนิทานเป็นเพียงวรรณกรรมมุขปาฐะที่เล่าถ่ายทอดกันมา ต้องอาศัยความทรงจำแทนการบันทึก ดังที่ฉัตรยุพา สวัสดิพงษ์ (2522 : 9) ได้กล่าวถึงวรรณกรรมมุขปาฐะไว้ว่า “วรรณกรรมมุขปาฐะ…เป็นพวกเพลงชาวบ้าน คำหยอก คำคติ คำปริศนา คำครวญ นิทาน “เมื่อเกิดการบันทึกด้วยตัวอักษร มีการพิมพ์เกิดขึ้น นิทานบางเรื่องจึงเปลี่ยนจากวรรณกรรมมุขะปาฐะมาเป็นวรรณกรรมลายลักษณ์ แต่ยังมีนิทานจำนวนอีกไม่น้อยที่ยังเป็นการเล่าโดยอาศัยความจำถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง
จุดมุ่งหมายของการเล่านิทานนั้นมีหลายประการ (มีผู้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการเล่านิทานไว้หลายท่าน เช่น วิไล มาศจรัส (2539 : 23) และ กุสุมา รักษมณี (2536 : 10) แบ่งวัตถุประสงค์ในการเล่านิทานออกเป็น 2 ประเภทคือ เพื่อความเพลิดเพลิน และเพื่อเป็นคติสอนใจ สุจินดา รูปโฉม (ม.ป.ป : 10) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการเล่านิทานไว้ว่า เป็นการเล่าเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก) เห็นได้ว่า นิทานมีจุดมุ่งหมายหลัก คือเพื่อให้ความบันเทิง และนอกจากนี้นิทานยังมีจุดมุ่งหมายในการขัดเกลาสังคม โดยใช้นิทานเป็นเครื่องมือในการสั่งสอนอบรมคนในสังคม ในนิทานอาจแฝงข้อคิด คติเตือนใจให้แก่ผู้ฟังให้นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในวัยเด็กผู้ใหญ่มักใช้นิทานเป็นสื่อในการสั่งสอนปลูกฝังสิ่งดีงามต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ เช่น นิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความซื่อสัตย์, นิทานเรื่องปลาบู่ทอง ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความกตัญญูกตเวทีและผลของการทำความดี การเล่านิทานให้เด็กฟังจึงมีประโยชน์มากมายทั้งในด้านการสั่งสอนอบรม เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก และเป็นความทรงจำที่ดีติดตัวเด็กไปจนโต
บางคนอาจมองนิทานว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องหลอกเด็ก แต่แท้จริงแล้วนิทานแต่ละเรื่องต่างมีสาระและคุณค่าที่น่าสนใจ ดังที่กุสุมา รักษมณี (2536 : คำนำ) กล่าวว่า
“นิทานไม่ใช่เรื่องที่อ่านหรือฟังกันเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น แต่ยังมีสาระที่แฝงอยู่ชวนให้คิดต่อไปอีกด้วย บางเรื่องก็มี”คติสาระ” จนเห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็น “นิทานสอนผู้ใหญ่”มากกว่าจะเป็นนิทานสำหรับเด็กอย่างที่เรามักเข้าใจหน้าที่ของนิทานกัน “
นิทานบางเรื่องอาจไม่เป็นเพียงแค่นิทานที่ใช้เล่าสู่กันฟังเพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากแต่แฝงบางสิ่งบางอย่างลงไปในนิทาน เช่น การผ่อนคลายความตึงเครียดทางสังคม โดยการเล่านิทานมุขตลกจากนิทานเรื่องเสี้ยงเมี่ยงค่ำพญา ขะตำปลาค่ำตุ๊ ปู่เส็คค่ำลัวะ ดังที่ สุรสิงห์ สำรวม ฉิมพะเนาว์ (ม.ป.ป : 53) ได้กล่าวไว้ในบทความ “นิทานตลกเจ้าเล่ห์ การระบายความใคร่ทางปาก ศึกษาจาก นิทานพื้นบ้านของภาคเหนือ” ไว้ว่า
“นิทานตลกของชาวบ้าน นอกจากจะทำหน้าที่เป็นสิ่งช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของผู้เล่าผู้ฟังแล้ว ถ้าจะศึกษาให้ลึกซึ้งลงไป เราจะพบกับสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนา ซึ่งช่วยแสดงให้เราได้เห็นถึงสภาพความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคมว่ามีความกลมกลืน หรือขัดแย้งกันอย่างไรบ้าง”
ศิราพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง (2539 : 17-18,21) ได้กล่าวถึงนิทานที่เป็นทางออกสำหรับความขัดแย้งและกฎเกณฑ์ทางสังคมไว้ว่า
“นิทานของแต่ละวัฒนธรรมก็มีเนื้อหาต่างกัน เราจึงสามารถดึง “สาระ” จากนิทานได้ ในกรณีที่นิทานไทยเป็นเรื่องพ่อตา – ลูกเขย เมียหลวง – เมียน้อย ย่อมสะท้อนความขัดแย้งในครอบครัวไทย ซึ่งเป็นครอบครัวขยายและครอบครัวซ้อน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเนื้อหาของนิทานมีความสัมพันธ์กับความเป็นจริงในสังคมนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง…ความตึงเครียดระหว่างพ่อตาลูกเขย เมียน้อยเมียหลวงต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก นิทานจึงได้เลือกหยิบประเด็นนี้มานำเสนอเป็นเรื่องหลัก และในชีวิตจริงบุคคลที่มีความขัดแย้งกันอาจจะไม่มีทางออก นิทานจึงทำหน้าที่ลดความตึงเครียดในครอบครัวลงได้”
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงนิทานมุขตลกที่เป็นทางออกของความกดดันจากกฎระเบียบสังคมไว้ว่า
“เนื้อหามุขตลกมักเป็นมักเป็นการพาดพิงมาตรฐาน หรือกฎระเบียบบางอย่างในสังคม ยิ่งสังคมเคร่งครัดในเรื่องใด เรื่องนั้นมักจะเป็นมุขตลก ในทางคติชนวิทยา มุขตลกมี 2 ประเภทคือ มุขตลกแบบหยาบโลน (obscene jokes) และมุขตลกแบบไม่หยาบโลน มุขตลกแบบหยาบโลนมักจะเป็นเรื่องเพศ เพราะการแสดงออกทางเพศเป็นเรื่องที่เคร่งครัดมากในสังคมไทย เนื้อหาของมุขตลกแบบหยาบโลนมักเป็นการล้อเลียนบุคคลที่ “ต้องห้ามในเรื่องเพศ” ในคลังมุขตลกของไทยมักจะพบนิทานประเภท “ตาเถน-ยายชี” “พี่เขย-น้องเมีย” “ลูกเขย-แม่ยาย” ซึ่งผู้ฟังจะต้องหัวเราะทุกทีไปเมื่อได้ฟังเรื่องเหล่านี้”
เห็นได้ว่าจุดมุ่งหมายของการเล่านิทาน นอกจากจะเล่าเพื่อความบันเทิง หรือเป็นเครื่องมือในการขัดเกลาอบรมคนในสังคมแล้ว นิทานบางเรื่องยังมีประโยชน์ในแง่มุมของการลดความขัดแย้งของคนในสังคมได้อีกด้วย
นิทานในแต่ละท้องถิ่นย่อมมีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นนั้นสอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องของนิทาน สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนความคิดความเชื่อต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านที่ผ่านมา ผู้ศึกษาพบว่ามักเป็นการศึกษานิทานพื้นบ้านโดยไม่มีการจำแนกนิทานว่าเป็นนิทานสำหรับเด็ก หรือนิทานสำหรับผู้ใหญ่ มีเพียงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานพื้นบ้านล้านนา ได้แก่ “วิเคราะห์นิทานไทยพวน ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จัวหวัดสุโขทัย” ของกิ่งแก้ว เพ็ชราช (2528) “วรรณกรรมไทยลื้อ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดเชียงราย” ของชำนาญ รอดเหตุภัย (2517) และ “วิเคราะห์นิทานพื้นบ้านของชาวไทยยวน บ้านคลองน้ำไหล จังหวัดกำแพงเพชร (2531) งานวิจัยทั้งสามเรื่องมีลักษณะการศึกษาที่คล้ายคลึงกันคือ เป็นการรวบรวมนิทานพื้นบ้าน การจำแนกประเภทของนิทาน จากนั้นจึงเป็นการศึกษาในแง่คุณค่าทางสังคม ภาพสะท้อนเชิงสังคมจากนิทานที่รวบรวมมา การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านยังไม่เคยมีผู้ใดทำการศึกษาเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็กมาก่อน ผู้ศึกษาจึงต้องการจะศึกษาถึงลักษณะของนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็ก โดยคาดหวังว่าจะเป็นงานบุกเบิกในด้านนิทานพื้นบ้านล้านนาสำหรับเด็ก ทำให้คนให้ความสนใจเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็กมากขึ้น เพราะเด็กเป็นวัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นวัยแห่งการเรียนรู้ และซึมซับสิ่งต่าง ๆ เพื่อเติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไปในภายหน้า ผู้ศึกษาเชื่อว่านิทานพื้นบ้านล้านนาสำหรับเด็กนั้นย่อมจะสะท้อนโลกทัศน์ของชาวล้านนา รวมไปถึงค่านิยม สภาพสังคม วัฒนธรรมต่าง ๆ ของชาวล้านนา ที่ต้องการถ่ายทอดสิ่งดีงามจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง และผู้ศึกษายังเชื่อว่านิทานพื้นบ้านล้านนาสำหรับเด็กนั้น มีความสำคัญมากต่อเด็กในการอบรมเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมอันดีงามแก่เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอดีตที่บทบาทของผู้ให้การศึกษามิใช่ครูในโรงเรียนดังเช่นในปัจจุบัน
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้กำหนดนิยามของนิทานพื้นบ้านล้านนาสำหรับเด็ก ว่าคือ นิทานที่ผู้ใหญ่ชาวล้านนาเล่าให้เด็กฟัง เพื่อความบันเทิง และสอดแทรกสาระต่าง ๆ ลงไปเพื่อเป็นคติสอนใจแก่เด็กชาวล้านนา
ปัจจุบันมีการนำนิทานพื้นบ้าน หรือนำชาดกมาปรับให้เหมาะกับเด็กและร่วมสมัยมากขึ้น ตัวอย่างการนำนิทานพื้นบ้านมาปรับให้เหมาะกับเด็ก ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เช่น การนำเรื่องพระมหาชนก (2543) มาปรับเป็นรูปแบบของการ์ตูนภาพ ทั้งสีและขาวดำ การนำนิทานพื้นบ้านเรื่องนางอุทธรา หรือเต่าน้อยอองคำ (ม.ป.ป) มาทำเป็นสมุดไดอารี่ของสำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก การนำเรื่องปลาบู่ทอง1มาทำเป็นการ์ตูนภาพออกแพร่ภาพทางโทรทัศน์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีที่มีคนให้ความสำคัญกับนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็กมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา และเป็นการให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยการฟื้นฟูคุณธรรม จริยธรรม จากกลวิธีอันแยบยลของคนโบราณในการสั่งสอนบุตรหลานของตนผ่านนิทานต่าง ๆ
จากความสำคัญของนิทานพื้นบ้านล้านนาสำหรับเด็ก เยาวชน และ ผู้ใหญ่ ที่มีคุณค่าอย่างมากมายนี้เองจึงเป็นที่มาของการศึกษาลักษณะของนิทานพื้นบ้านล้านนาในครั้งนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น